💚💚 ตอนที่ 2 ณ ตลาดคนเดินสันกำแพง ถนนสายวัฒนธรรม : ตามรอย สล่างานปั้นขี้เลื่อย สล่างานไม้ สล่างานปั้นดินเผา
👸 วันนี้เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวกับไปกาดทั้งวัน เช้ายันค่ำ.. ปกติไม่ชอบไปเดินตามงานแฟร์อะไรต่างๆ รำคาญคนเยอะ และไม่ค่อยจะได้มีความประสงค์จะช็อพอะไรเป็นพิเศษ ถ้าต้องเดินทั้งงานเพื่อชมสินค้า ...ขอบาย แต่วันนี้ทราบว่า จะมีมุมของศูนย์ OTOP เชียงใหม่ จัดให้กลุ่มสล่า มาจัดแสดง การสาธิตและเผยแพร่งาน ตลอดจน มีการจัดมุมกิจกรรมให้เด็กๆ และครอบครัวได้ร่วมเรียนรู้ ซึ่งถือเป็นโอกาสดี ที่จะได้มาทำความรู้จักกันไว้ และศึกษารูปแบบการถ่ายทอดวัฒนธรรม
👧 น้องอ้อ สล่างานหัตถกรรมเครื่องประดับจะมาแสดงสินค้าต่อที่ตลาดในกลุ่มนี้ด้วย
กิจกรรมที่เด็กๆ และครอบครัว ชอบและง่าย คือ การวาดรูป ระบายสี ยังใช้ได้ตลอด
สล่างานปั้นจากขี้เลื่อย มาจัดแสดง รูปปั้น "คชสีห์" ที่หัวเป็นช้างตัวเป็นสิงห์
ตรงกับทางอีสานเรามีวรรณกรรม ชื่อ สินไซ เขาอธิบายว่า ต่างนิดนึงที่ของเขาเท้าเป็นนกด้วย
ชิ้นงานฝีมือที่ปั้นจากขี้เลื่อย ละเอียด ประณีต น่าอัศจรรรย์
น้องบอกว่า ถ้าเคลือบแล้ว ก็สามารถตั้งกลางแจ้งได้ ผงขี้เลื่อยไม่หลุด
วัสดุก็มีแค่ ขี้เลื่อยที่ละเอียดเป็นฝุ่นกับกาวลาเท็กซ์ และหัวใจ ลงมือได้เลย
มีผู้ปกครองพาเด็กมาเรียนงานปั้น เป็นระยะๆ
สล่า กลุ่มนี้น่าสนใจมาก เขาตั้ง "มูลนิธิสล่าล้านนา" เพื่อดูแลให้กลุ่มสล่า ได้รับการดูแล
และร่วมกันสืบสาน พัฒนา งานช่างฝีมือล้านนา ก็มาจาก บ.ออนใต้ แถวหนองพญาพรหมนั่นเอง
งานที่นำมาแสดง มีงานแกะสลักไม้ ที่นิยมกันมาก คือ รูปช้าง ทั้งเป็นแบบลอยตัว และนูนต่ำ
รวมถึงการ วาดภาพ ลงบนแผ่นไม้ แล้วแต่จะพิจารณาว่า ไม้ที่ได้มาเหมาะกับงานไหน
ยังมีงานแกะสลักบนแผ่นเงินด้วย
และขับเคลื่อนงานร่วมกับ ศูนย์ OTOP เชียงใหม่ ซึ่งขอให้ทีมมาช่วยเสริมพื้นที่งานถนนสายวัฒนธรรมมีมุมของการจัดแสดง สาธิต สอนเด็กๆ เยาวชน เผื่ออนาคตพวกเขาจะสืบสานต่อไป
การมาร่วมงานวันนี้ ทีมสล่า ..ไม่ได้รับงบประมาณ แต่ร่วมมือในการมาช่วยให้พื้นที่มีสีสัน
เนื่องจากเพิ่งเริ่มมีกิจกรรมแบบนี้ และเริ่มประชาสัมพันธ์ คนจึงยังรู้จักน้อย..
เครื่องถ้วยสังคโลก ลายปลา เป็นเอกลักษณ์ของสันกำแพง ที่นี่มีเตาเผาในยุคโบราณ สล่ารุ่นเก่าและใหม่ยังสืบสาน ลายไว้อย่างแน่นเหนียว...(หาความรู้มานิดหน่อย)
เครื่องถ้วยสังคโลกแบบสันกำแพงเจริญรุ่งเรืองมา
ตั้งแต่ยุคสุโขทัยในราวปี พ.ศ. 1984 จากการขุดค้นสำรวจ
ทางวิชาการ และพิสูจน์ทางเคมีเนื้อดินภาชนะที่พบเขต
ตำบลออนใต้ มีการบันทึกเป็นหลักฐานว่าแหล่งโบราณคดี
กลุ่มเตาเผาต่างๆ นี้น่าจะสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 19
(พ.ศ. 1800) เครื่องถ้วยส่วนใหญ่ที่พบเป็นรูปแบบไห อ่าง
ทรงสูง ถ้วย ชาม ครก มีสีเขียวอ่อน หรือสีเทาอมเขียว ไหเคลือบ
สีนํ้าตาล บางแหล่งเป็นภาชนะสีดินออกนํ้าตาลแดง บ้างเคลือบ
สีเดียวตลอดภาชนะ เช่น สีเขียวไข่กา สีเทา จนถึงสีเขียวออกเหลือง
บางภาชนะเขียนลายปลาเดี่ยว ปลาคู่ ปลาเป็นกลุ่มปลาว่ายวนเป็น
วงกลม ทั้งบริเวณด้านในกลางชามหรือด้านข้างชาม และเขียนลาย
พฤกษา บางแหล่งพบเศษเครื่องถ้วยลายครามราชวงศ์หมิงของจีน สัญลักษณ์ของ : ลายปลาว่ายวนนำมาจากลวดลายบนภาชนะเครื่อง
ถ้วยสันกำแพง ปลาสามตัวว่ายเวียนไปทางขวา หมายถึง ชุมชนที่ยึดมั่น
ในพระพุทธศาสนา ใบไม้หรือลายพรรณพฤกษาตรงกลางหมายถึง
ความอุดมสมบูรณ์ จึงมีสโลแกน : พันนาพูเลา ร้อยเรื่องเล่า เมืองเก่าออนใต้
(เรื่องราวของคนออนใต้ ที่เล่าต่อกันมา บอกว่า ผู้คนที่นี่อพยพมาจากพันนาภูเลา แขวงเมืองเชียงแสน เพื่อตั้งบ้านเรือนอยู่ริมฝั่งใต้ของแม่น้ำออน มีอาชีพหลักคือการทำเครื่องถ้วยชามสังคโลก ที่มีหลักฐานยืนยันจากการขุดค้นพบแหล่งโบราณคดีเตาเผามากกว่า 300 เตา ทั้งในเขตออนใต้และสันกำแพง เป็นที่มาของเครื่องถ้วยสันกำแพง ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า 800 ปี)
สล่าปั้นถ้วยชาม ยังรวมตัวกันเหนียวแน่น และนิยมใช้การเผาตามขนบเดิม เนื้อดินเผามีเสน่ห์และเป็นเอกลักษณ์ งานนี้ สั่งทำ จานดินเผา เป็นตรามูลนิธิไว้ด้วย รอการเผาและส่งมาให้ นี่คือแบบที่พ่อครูสล่าสมนึก ส่งมาให้เราดู.. ตอนนี้รอด้วยใจจดจ่อ ..
เมื่อได้ สานสัมพันธ์กับทีมครูสล่า แล้ว ก็แลกเปลี่ยน ที่อยู่เพื่อที่จะทีมทางฝั่งเรา ไปเรียนรู้แลกเปลี่ยนกันในโอกาสต่อไป
เมื่อมาถึงถิ่น ก็ต้องขอวิชาสักอย่างจากเพื่อน และช่วยเฝ้าร้านด้วย
เนื่องจากมีนักท่องเที่ยว ทำลูกหล่นหาย
เพื่อนเราเลยต้องพาไปประกาศตามหา ดังนั้น เราจึงปลอมตัวเป็นสล่า
เพราะเรียนรู้การปักเม็ดเดือยบนกระเป๋าผ้าพอดี..เนียนเลยเรา..
รอชมต่อกัน ตอนที่ 3 น้าาา.. เข้มข้น มีระดับไปเรื่อยๆ เลยแหละ..