เล่าเรื่อง  ท่องเมืองซำเหนือ  แขวงหัวพัน สปป.ลาว  ตอน 2 
             นักเดินทางมืออาชีพ จะต้องหาข้อมูลและเตรียมสัมภาระ ข้าวสารอาหารแห้ง หยูกยา อุปกรณ์ช่วยชีวิต  จองที่พัก จัดการเวลา เตรียมจัดโปรแกรม ฯลฯ จิปาถะ  แต่เราไม่ใช่! ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงตลอด แต่ใช่ว่าไม่เตรียมอะไรเลย  ในการนี้ พ่อเสี่ยวของเรา ท่านสีละลา ปัทมะวง อยู่เวียงจันทน์ ซึ่งไม่สามารถร่วมทริปพาคณะเราท่องแดนเหนือได้จึงแนะนำตารางไว้คร่าวๆ เราก็เพียงดูเส้นทางไว้ว่า  เราจะผ่านเมืองไหน ระยะทางประมาณกี่หลัก(กิโลเมตร)  อีกประการหนึ่ง ในการเดินทางแบบทัวร์นกขมิ้น ค่ำไหนนอนนั่น  ควรเลือกเพื่อนร่วมทางที่คิดบวกและพร้อมที่รับความเปลี่ยนแปลง  คนที่กลัวความสูง มีภาวะโรคหัวใจ ความดัน เบาหวาน เกาท์(โปรดอยู่บ้าน) เมารถ(โปรดรอฝั่งไทย) ฯลฯ ควรติดยาไปด้วย
เลือกเพื่อนร่วมทางที่จิตใจเบิกบาน สุขภาพกายเข้มแข็ง จะได้ไม่เพิ่มภาระทางใจแก่คณะเดินทาง
Day 2 (ต่อ)
             เราขึ้นเรือบักข้ามฝั่งมาถึง ด่านปากซัน แขวงบอลิคำไช ด้วยเวลาประมาณ 20 นาที  (จ่ายไป 400 บาทต่อเที่ยว คนไม่ต้องเสียค่าบริการ) ใช้เวลาติดต่อ กรอกเอกสารผ่านแดนขาเข้าตามปกติ และทำเรื่องนำรถเข้า จ่ายค่าธรรมเนียม  เป็นเรื่องดีมากๆ ที่ทีมเรา ได้รับยกเว้นในฐานะที่เกิดนาน ครบ 65 ปี 2 คน ทางการลาวให้เข้าฟรี  พี่สุพจน์หวุดหวิด เพราะขาดไป 2 วันถึงจะมีสิทธิ์  เราใช้เวลาที่ด่านสบายๆ ไม่รีบร้อน  และแวะแลกเงินส่วนกลาง ที่ลงขันกันไว้ คนละ ห้าหกพันบาท (เรามีเงินกีบอุ่นกระเป๋าแลกไว้ห้าล้านกว่า) ส่วนใครจะแลกส่วนตัวก็ตามสะดวก  ในเรื่องของเงินเราควรให้เกียรติรัฐบาลลาวที่ส่งเสริมการใช้เงินกีบ ทั้งที่เราสามารถใช้เงินบาทจับจ่ายได้ในเมืองใหญ่ก็ตาม  ช่วงที่เราแลก อัตราอยู่ที่  1 Bath/ 269 kip นับว่าเป็นเรทที่สูงที่สุดเท่าที่เคยแลกได้ แต่เราแลกกับร้านทอง จึงได้แค่ 260 kip เราก็โอเค 
            หลังจากนั้น ไปเติมอาหารมื้อกลางวันที่ร้านพื้นเมืองข้างทาง  ไปซื้อซิมเน็ต เติมเงิน ให้ใช้ติดต่อกัน ให้มีไว้สักอย่างน้อย 2 เครื่องในกลุ่ม กรณีพลัดหลงในดงผ้า หลังจากนั้นมุ่งหน้าสู่จุดหมาย

พนักงานกำกับให้พื้นลาดของแพทอดทาบพอดีกับท่าปูนบนฝั่งได้สนิทพอที่รถจะขับผ่านลงได้
จึงให้สัญญาณรถขับลงจากแพได้ 


รถเราได้ขับลงจากแพต่อจากรถพ่วง 18 ล้อ ส่วนรถใหม่  10 คันนั้นพนักงานจะค่อยๆ ขับขึ้นมา



เมื่อขับขึ้นมาบนเนิน ก็พบลานจอดรถของ ด่านสากลปากซัน ที่เราจะเข้าไปติดต่อเอกสารเข้าเมืองกัน
             ที่นี่เราจ่ายค่าเข้าเมืองหัวละ 80 บาท รถคันละ 200 บาท
ถ้ารถที่พึ่งเข้ามาครั้งแรก ควรเข้าด่านใหญ่ เช่น เวียงจันทน์ก่อน เนื่องจาก จนท.ตรวจคนเข้าเมือง ศุลกากรจะสัมภาษณ์จุดประสงค์การนำรถเข้าออกและแนะนำข้อมูล และเพื่อสะดวกในการเลือกการทำประกันรถที่มีหลากหลายกว่าด่านเล็กๆ (ครั้งนี้ประกันยังไม่หมดอายุ เราทำประกันไว้รายปี
เลยไม่ต้องเสียเวลาไปทำอีก) เราควรแจ้งออก เผื่อไว้ในเอกสาร เช่น จะอยู่จริง 3 วัน ควรแจ้งไว้ 7 วัน/ เผื่อรถมีปัญหา ออกไม่ได้ตามกำหนดจะสียค่าปรับวันละ 5000-10000 บาทเชียว
แล้วแต่ดุลยพินิจของแต่ละด่าน   

ออกจากด่าน ฝ่ายการเงินของทีม เข้าไปแลกเงินล้านอยู่ข้างในร้านทอง พวกเราคุ้มกันอยู่ข้างนอก 
(ที่จริง แบ็งค์อยู๋ใกล้ออกมา 30 เมตร แต่เราไม่รู้พิกัด แลกที่นี่ไปแล้ว ก็ไม่ต่างกันเท่าไร)

อาหารมื้อแรก ที่ปากซัน ด้วยความหิว สั่งกันมากมาย ..หยุดไม่อยู่

และไม่วาย สั่งข้าวราดผัดกะเพราไก่อีก  นับว่าหน้าตาดีและรสชาติก็โอเคมาก


ปิ้งกบ (กบย่าง) สักตัวมั้ยคะ ขนาดบึกบึนน่าลิ้มลอง หมอบราบขาชี้นิ่งสงบอยู่ในจาน จัดไป 2 กบ


 เฉพาะมื้อแรกนี้ ก็ซัดไป แสนห้าแล้ว ค้าาาบ พี่น้อง ..ฟุ่มเฟือยกันจัง


14.30 น. หลังได้ซิมเน็ต ซิมโทร เติมเงินกันแล้ว ก็ออกเดินทาง โดยไม่มีโอกาสได้ชมกุหลาบปากซัน
แม้แต่น้อย  เส้นทางก็เป็นทางราบนิดเดียว นอกนั้นเป็นเขาสุดลูกหูลูกตา คดเคี้ยวตลอด ซ้ายก็เหว 
      ขวาก็เหว แต่พื้นผิวถนนค่อนข้างดี (นับว่าดีกว่าเส้นทางไชยบุรี หลวงพระบางอย่างมาก) 
ส่งผลให้ไม่ต้องระวังในมิติคุณภาพถนน  ภูเขาข้างหน้าจะต้องข้ามไปนอนที่เขาลูกไหน ยังไม่มีใครรู้ 

ระหว่างทาง ยิ่งตะวันเริ่มคล้อย ก็พบเด็กๆ กลับจากโรงเรียน เดินหยอกล้อกันอย่างคุ้นชิน
โดยไม่กลัวอันตราย  สิ่งที่เราพบอีกเป็นประจำ คือ ฝูงวัวที่เดินเต็มถนน และยืนกินหญ้าขอบทาง  
ขณะที่เราลงเขาจากทางโค้งลงมา จังหวะเด็กกลุ่มหนึ่งใช้กิ่งไม้หยอกวัวที่ยืนเล็มหญ้า  ทำให้วัวหนุ่มโดดออกมา ชนกับรถเรา เสียงดังมาก วัวกระเด็นไถลไปตามพื้นถนน และลุกขึ้นมาวิ่งลงไปยืนงง ที่ไหล่ทางอีกฝั่งหนึ่ง ห่างไปราว 10 เมตร (ดีที่ไม่มีรถตามมา) เหตุการณ์ที่เกิดเด็กก็ตกใจ ตั้งสติได้เราก็ลงไปถามถึงเจ้าของ เด็กก็หลบ ส่ายหน้า เดินหนี อาจกลัวความผิด เราก็อยากชดเชยให้เจ้าของเผื่อเจ้าวัวบาดเจ็บมาก ..แต่ถามดูแล้วก็ไม่มีใครให้ข้อมูลใดๆ .วัวหนุ่มก็เดินไปยินกินหญ้าต่อเฉยเลย. 
เราจึงเดินทางต่อไปโดยค่อยๆ สงบใจเรา  และกล่าวอโหสิกรรมต่อกัน

17.30 น. เนื่องจากเป็นวันที่อากาศหนาวเย็น สำหรับในพื้นที่บนเขาก็เริ่มมืดแล้ว  การขับรถก็ลำบาก
เพราะทางวิ่งบนเขาคดเคี้ยว บิดซ้ายบิดขวาตลอดเวลา คนขับต้องจดจ่อและใช้สายตาอย่างหนัก
และการที่ไม่คุ้นเส้นทาง ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังมาก 

18.30 น. มาถึงปั้มชนบทแห่งหนึ่ง  เจ้าของอัธยาศัยดีมาก เธอสวมผ้ากันเปื้อน ราชาชูรสด้วย
เราแวะจอดถามเส้นทางเล็กน้อยเพื่อการตัดสินใจ และขออนุญาตใช้ห้องน้ำ

เจ้าตัวน้อย ที่เธอสะพายไว้ข้างหลัง น่าเอ็นดูมาก  เราจึงฝากเสื้อกันหนาว 
(ของครูแต้กับเพื่อน ที่เตรียมมามอบเด็กๆ ที่ขาดแคลน โอกาสทำบุญวันเกิด) 
มอบให้เจ้าตัวน้อยไป 1 ชุด โดยมีภาพเราเป็นคนเอาหน้า ดูเสมือนเป็นของเรา เนียนมาก!

19.30 น. ที่สุด เราต้องตัดสินใจพักที่ เมืองโพนสวรรค์  แขวงเชียงขวาง ผิดเป้าจากที่ตั้งหมุดหมายไว้ คือ คาดว่าจะพักที่ เมืองคำ แต่เนื่องจากต้องไปอีกเกือบ 2 ชั่วโมง คนขับก็ล้าแล้ว
เฮือนพักน้ำใจ คือ ที่พักคืนนี้  ห้องละ 70,000  คุณภาพ 3 ดาว (ดีกว่า เฮือนพักที่ฝั่งไทยอีก)

เฟอร์นิเจอร์ล็อบบี้ ขนาดโรงแรม 4 ดาว บ้านเรายังอาย  ชุดนี้ในไทยคงหลายหมื่น  วางไว้ให้พวกเรานั่งเล่น wifi  สบายอารมณ์  

แม่จ้าาาว เตียงไม้ทุกห้อง เคาะดูแล้ว ไม้หนามั่นคง ทั้งตัว พื้นและหัวเตียง 
กอ่นนอนวันนี้ สงบจิต แผ่เมตตาส่งพลังให้วัวหนุ่มฟื้นตัวจากการถูกชนโดยเร็ว ..
และขอบคุณที่เขาช่วยมาเตือนให้ได้มีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น 
(โปรดติดตามตอนที่ 3 )