เล่าเรื่อง ท่องเมืองซำเหนือ แขวงหัวพัน สปป.ลาว #ตอน5

 ***เอ้า!.มาถึง ตอน 5 กันละ ..เนื่องจากภาพประกอบ เป็นพันกว่าภาพ  ต้องใช้เวลาเลือก เลยล่าช้า..ขาดตอนไปและพลาดที่ไม่ได้วางแผนเก็บภาพมาเล่า  จึงเก็บแค่ภาพเรื่องราวที่ทางเพื่อจดจำสำหรับไปรอบหน้า  คุณภาพก็มัวๆ บ้าง..ต้องขออภัยที่ไม่ได้ตัดภาพให้สวยๆ  ลงกันดิบๆ ไปเลย เบลอหน้าหลังชัด  จัดแบบจริงใจ 
         เช้าวันนี้อากาศหนาวเย็นมาก กลางคืน 7 องศา เช้าช่วงสาย เป็น 8 องศา การหนีร้อนมาพึ่งเย็นครั้งนี้บรรลุเป้าการรับรู้สึกหนาวในระดับลึกมาก  ชุดเสื้อผ้าหนาวที่ขนมาได้ใช้อย่างคุ้มค่า


เอกลักษณ์ ผ้าทอซำเหนือ ..ลายเฉพาะตัวและมีความละเอียดประณีต ถือเป็นศิลปะชนชั้นสูง


อากาศวันนี้ ..นี่แหละค่ะ ที่แค๊พหน้าจอไว้ ..



มีคนนึงออกไปเดินตากแอร์แต่เช้าเก็บภาพหน่วยแก้ว (ลูกแก้ว) บนยอดเสาหลักเมือง เราเลยมีภาพนี้ น้องๆ ชาวซำเหนือเล่าว่า เมืองซำเหนือเป็นที่มั่นสำคัญในการปลดปล่อยชาติลาว..เสาหลักนี้ พึ่งสร้างไม่นาน (จะรีวิวทีหลัง) ลายบนเสาก็คือเอกลักษณ์ของเมืองซำเหนือ     

ภาพนูนต่ำ บอกเล่าตำนานกระบวนการต่อสู้..บนกำแพงข้างเสาหลัก


 อาคารหอวัฒนธรรมหลังนี้ มีรูปแบบทรงเดียวกับที่เวียงจันทน์
แต่น่าเสียดายที่เวียงจันทน์น่าจะเป็นอาคารทางธุรกิจไปแล้ว 
(พร้อมการแลกเปลี่ยนด้วยอาคารหลังใหญ่แทนที่บนถนนสาย 13 ใต้ ข้างพิพิธภัณฑ์ท่านไกสอน พรมวิหาน) 


เช้านี้ไม่ได้ทานอาหารเช้าจริงจัง เลยอุดหนุนขนมรถเข็นพื้นเมืองกล้วยทอด (แป้งโบกเยอะมาก) ซาละเปาทอด เป็นเครื่องเคียงกาแฟที่ลงตัวใช้ได้ ทานกาแฟไปก็สนทนากับเจ้าของเฮือนพัก 
ประสาคนรักผ้า ถามหาที่ทางไปถิ่นผ้าทอ เธอจึงนำผ้างามที่รักษาไว้เนิ่นนานของเธอมาให้ชม


พี่พจน์  เจ้าของรถที่ขับพาเรามา เป็นผู้ที่ื่ชื่นชอบผ้าทอเช่นกัน ..แต่ผืนสีพาสเทล เจ้าของเธอหวงมากๆ ..ไม่ยอมใจอ่อนให้ใคร

คุณพอนมีสุข เจ้าของเฮือนน้ำซำ สาธิตการโพกผ้า อเนกประสงค์ //
 แพรงามแดงสองผืนที่เธอนำมาโชว์ เซียนผ้าได้ขอครอบครองโดย อ้อนขอปันไว้เป็นขวัญและฝากผู้ใหญ่ เธอคิดนิดนึงและยินดีให้ด้วยไมตรี เซียนก็รีบบูชาเอาเลย.. ผ้าทั้งสองผืนไม่ต่ำกว่า 50 ปี 



นอกจากภาพสี่คนนี้ ดูสิเธอมีผ้าประดับเต็มไปหมด รอบๆ ล็อบบี้เลย
เธอแนะนำว่า ที่ตลาดน้ำซำมีผ้าทอหลากหลาย ให้ไปเลือกชมดู

เราเดินออกจากที่พักมาราว 100 ม. เป็นขัวน้ำซำ ซึ่งมีการทำตลิ่งไว้อย่างมั่นคง หรูน่าดู การที่เช้านี้มีฝนตกปรอยๆ ยิ่งทำให้หนาวขึ้นและไม่อยากเสี่ยงไข้ขึ้น เลยใช้ร่มกันฝนกันซะหน่อย


ข้ามขัวมาก็เป็นตลาดน้ำซำ ใหญ่และสะอาดมาก กว้างขวาง มี 2 ชั้น
ชั้นล่าง ขายอาหาร และของอุปโภคบริโภค ของใช้และผ้า
ชั้นบน เป็นของใช้ เสื้อผ้า รองเท้า แฟชั่น ร้านเครื่องประดับเงินทอง



ส่วนของอาหารก็มีทั้งของสด ของแห้ง อาหารสำเร็จกับข้าวนานา ..
ภาพแรก ถ้าคุณไม่เห็นสิ่งนี้แสดงว่าคุณมาไม่ถึงเมืองลาว..หนังควายแห้งไงล่ะ ของพื้นเมืองที่กินได้ทุกฤดู พกไปตอนเดินป่าไม่อดตาย   วิธีการนำไปเผาในไฟ (จี่) ให้ไหม้ดำจนสุก และทุบส่วนที่ดำออก เหลือส่วนแท่งขาวๆ กินได้เลยหรือนำไปใส่แกงขี้เหล็กหรือ
เอาะหลาม แซ่บนักแล (ว่างั้น) 
 ภาพล่างซ้าย ถ้าคุณเดินเพลินๆ คุณจะลืมตัวและคิดว่ากำลังเดินตลาดแถวบ้านคุณอยู่ เพราะเครื่องปรุงทั้งหลายฉลากไทยทั้งนั้น 
และแน่นอนดินแดนแห่งผ้าทอ  อุปกรณ์และวัสดุการทอมีขายทุกมุม 

                       
การท่องตลาดผ้าเริ่มขึ้นแล้ว.. ชั้นล่าง ร้านผ้าทอมีเป็นสิบ ละลานตา 
อาศัยว่ามีเซียนผ้า QC ให้เบาใจไม่ถลำลึกและเลือกแบบมีสติพร้อมกับสตังค์(ที่พอมีจ่าย)


มีผ้าหลายตระกูล หลายประเภทใช้งาน  ให้ชมและแชร์(มานี่ไง)
แต่ซื้อไม่ไหวดังใจปรารถนา..เรามีเป้าหมายแค่อยากได้ผ้าแบบที่เรา
ชื่นชอบในดินแดนแถบนี้สองสามชิ้น  ตามที่เราเดินสำรวจ ร้านที่ใหญ่สุดน่าจะเป็นร้านแม่เรือน..มีผ้าหลากหลายและราคาต่อรองได้เป็นที่พอใจ วันนี้เรายังซื้อผ้าไม่มาก คิดว่าจะมาดูใหม่ จึงแค่โฉบๆ กัน 


ช่างเย็บคนงาม ต่อตีนจก เย็บเป็นผืน ก็ทำงานหลังร้านกันเลย เพื่อบริการตามใจผู้ซื้อต้องการ  ตอนออกมา เห็นส้มสดน่ากิน 
ไม่มีร่องรอย wax เลยทดสอบวิชาเลือกส้มว่ายังแม่นยำอยู่มั้ย..โลละ 40 บาท สดจากสวนในท้องถิ่น หวานอมเปรี้ยวฉ่ำจริงๆ เสียดายซื้อมาแค่ 2 กิโล

เราออกจากตลาด ปรับแผนไปศึกษาประวัติศาสตร์ซำเหนือกัน
เป้าหมายคือ เมืองเวียงไช ห่างออกไป 30 หลัก
ทางเต็มไปด้วยฝนฝอยหนาทึบเช่นเดิม ต้องค่อยๆ ไปและในบางช่วง 
มีการก่อสร้าง ขยายทางเส้นนี้ให้สะดวกเพื่อเชื่อมไปเวียตนาม


ระหว่างทาง มีภูเขาหินแบบนี้เยอะ งามจนต้องจอดเก็บภาพไว้


เขาหินกับดินแฉะ เลือกชมเอา .. :  และแล้วก็มาถึงประตูเมืองเวียงไช


ก่อนจะท่องพื้นที่เพิ่มพูนปัญญา ต้องเติมพลังก่อน เราแวะสั่งอาหารที่ร้านคุณวัน  รับบริการผิงไฟ (ก็เที่ยงแล้วยังคางสั่น)..อาหารที่นี่รสชาติอร่อยและตอบโจทย์กระจุกกระจิกของเราอย่างไม่หงุดหงิด..
เช่น ส้มตำไม่เผ็ด ไม่ชูรส ไข่เจียวไม่หมูสับ ..(ไม่กินซะดีมั้ย?) 


ตลอดเส้นทางเจอแต่มิตรไมตรี คนดีและคนงาม เก็บภาพถ่ายเบอร์โทร.แม่ครัวสองแม่ลูก..สาวซำเหนือ งามเหนือคำบรรยาย  ว่ามั้ย?


มาถึงแล้ว อนุสรณ์สถาน ประวัติศาสตร์การปลดปล่อยชาติลาว
มีคนบอกว่าที่ขายปี้จะหายากหน่อย เราดันไปเชื่อเขา หา.กว่าจะเจอ..
เลยถ่ายรูปป้ายทันที จำไว้!  ทีหลังอย่าเชื่อใครง่ายๆ .

ช่องขายปี้(ตั๋ว) และเจ้าหน้าที่ โดนเก็บเรียบ ถ่ายไว้หมด


เพื่อความมั่นใจ เก็บภาพไว้ก่อน เผื่อกลับออกมาไม่ครบ อย่างน้อยก็มีภาพไว้ประกอบการค้นหา

ทางเข้าและทางขึ้น จัดทำไว้อย่างดี เราเริ่มเยี่ยมชม 
ถ้ำท่านประธานไกรสอน พรมวิหาน เป็นถ้ำแรก



เครื่องใช้ของท่าน อ่างล้างมือ บรรยากาศห้องนอน การหลบในถ้ำธรรมชาติ ใช้เป็นจุดบัญชาการประสานงาน นับว่าปลอดภัยในยุคนั้น

ห้องป้องกันไอพิษ  ห้องนอนทหารป้องกัน(เฝ้ายาม)


ห้องนอนท่านประธานไกรสอนและลูก คิดดูว่า ท่านต้องอุทิศตน 
ทิ้งความสุขสบายมาปฏิบัติการในที่อยู่คับแคบ เครื่องอำนวย
ความสะดวกไม่มี พื้นที่การกินอยู่จำกัด เพื่อประชาชน


หนังสือที่ท่านอ่าน ยังอยู่ในตู้บางส่วน มีลายมือด้วย  ภาพขวาเป็นโต๊ะประชุมผู้นำจากหลายสาย มีภาพและชื่อท่านเหล่านั้นวางไว้ให้ศึกษา


อาคารภายนอก สร้างหลังจาก การปลดปล่อยสำเร็จแล้ว


ต้นไม้ที่ท่านผู้นำได้ช่วยกันปลูกเป็นที่ระลึก
จริงๆ แล้ว ถ้ำของผู้นำต่างๆ มีมากกว่า 500 ถ้ำ เนื่องจากต้องหลบลี้หมุนเวียนไป ไม่สามารถอยู่ที่เดิมๆ เพราะจะเป็นเป้าการถูกติดตาม แต่เราไม่สามารถไปชมได้ครบหมด เราจึงไปถ้ำแรกและถ้ำที่ 500 เลย

ขับรถต่อมาอีกนิด ที่ถ้ำท่านเจ้าสุภานุวง


ทางเข้าก็สวยงามเช่นกัน  มีต้นส้มโอป่า (น่าจะไม่นิยม) 
หล่นเต็มพื้นไม่มีใครเก็บ
ธาตุนี้คืออนุสรณ์ของท่านอะลิยะทำมะสิน บุตรของเจ้าสุภานุวง
ซึ่งมีความสามารถรอบรู้และถูกสังหารในระหว่างช่วงสงครามนั้น   


ท่านเป็นเชื้อสายเจ้าชีวิตที่ผลักดันอยู่เบื้องหลังเพื่อประชาชน 
ต้องมาใช้ชีวิตอยู่กลางป่ากลางถ้ำเช่นกัน


ห้องนอนและห้องน้ำ ที่ต้องประยุกต์ใช้ในความจำกัด 
ไร้ความสุขสบาย คล้ายๆ กับที่ถ้ำแรก

ที่ถ้ำนี้ จะมี ห้องตรวจสุขภาพ และห้องนอนท่านหมอด้วย


ข้างหลังของเราเป็นห้องครัว และห้องทหารยาม

สระข้างหน้าเป็นหลุมระเบิด ที่สร้างสระน้ำไว้แทนเพื่อรำลึกบาดแผลของการต่อสู้




                         

เรากลับมาถึงที่พักที่เฮือนน้ำซำ คืนนี้พักซำเหนืออีกคืนนึง
ค่ำนี้เราเฉลิมฉลองความราบรื่น ด้วยไวน์ของคนที่ไม่ได้มาด้วย
(แอบยินดีกับเพื่อนที่ไม่มาก็ดีแล้วและสมน้ำหน้าตัวเราเป็นบางแว้บ)
แกล้มกับลาบซำเหนือ ที่ร้านแดนหนาวเมืองซำ
ทีมงานเห็นว่า คงต้องไปกันอีกรอบ เพราะหนาวจนไม่สามารถรับรู้ความอร่อยได้ แม้แต่ไวน์รสดี ยังดีกรีไม่พอใช้งานบรรเทาความหนาว
*** ภาพรายละเอียด เรื่องผ้าและในถ้ำประวัติศาสตร์มีเรื่องราวมาก แต่ไม่สามารถบรรยายลงลึกได้หมด จึงวางได้แค่ภาพกว้างๆ 
เป็นไกด์ไลน์..เผื่อผู้สนใจ จะได้ติดตามมาชมด้วยตนเอง...
(จบ ตอน 5 ไว้เพียงเท่านี้ ถ้าชอบก็ช่วยแชร์และเมนท์ให้ด้วยนะ
เรามีของรางวัล 2 ชิ้น เป็นเป้เอกลักษณ์ซำเหนือและกระติ๊บข้าวน้อยเอกลักษณ์ซำเหนือ)