ท่องล้านนา - ตามรอยสล่า ตอน 5



💚💚💚💚💚 ตอนที่ 5  ตามรอยสล่า จนเมื่อยล้า  เช้ามีนัดอบสปารำข้าว บ้านผสาน  
                     ตามด้วยภารกิจสำคัญ การเรียนปักผ้า กับสล่าอาข่า (30-11-20) /ปิดทริป
 



เรามีนัดสำคัญ ที่เตรียมการและนัดหมายกันมานานกว่าครึ่งปีและถือเป็นภารกิจ
สำคัญสุดของทริปนี้ เมื่อวันก่อน เราเดินทางตามนัดสล่า ได้ 2-3 เรื่อง 
และเร่งเดินทางให้มาถึงก่อนเวลา หอนาฬิกา ปลุกเพลงเชียงรายรำลึก ราว 30 นาที
ได้ฟังเพลง เชียงรายรำลึก ..กันเหงาๆ นทท. เริ่มหลบมุม งดรวมตัว
เช้านี้ นัดหมาย 9.00 น. ที่ บ้านผสาน เพื่ออบสปารำข้าว คืออะไร อ่านกันก่อนนะ

สปารำข้าว ..เป็นการนอนในอ่างใหญ่ๆ ที่เต็มไปด้วยรำข้าวที่บรรจุ จุลินทรีย์ตัวจิ๋ว
ไว้จำนวนมหาศาล  นำเข้ามาจากญี่ปุ่นมาเพาะเลี้ยงให้ขยายแพร่จำนวนเพียงพอเป็นเวลา 2 ปี
กว่าจะเปิดบริการได้ ที่นี่เริ่มเปิดเป็นแห่งแรกในเมืองไทยและมีเปิดที่เอกมัย กทม. ซึ่งรับจุลินทรีย์ จากบ้านผสานไป  ณ ตอนนี้ที่นี่เปิดมา 5 ปี ก็ยังมีแค่ 2 แห่งในเมืองไทย 
สปารำข้าว เป็นศาสตร์ทางเลือก ด้านการดูแลสุขภาพของทางญี่ปุ่น  
น้องที่ดูแลจะใช้พลั่วโกยรำข้าวให้เป็นหลุม ให้เราค่อยๆ นั่งสัมผัสความร้อน
แล้วค่อยๆ นอน แล้วกลบตัวเราด้วยผงรำข้าวและผงส่วนผสมที่เป็นอาหารเลี้ยงจุลินทรีย์ 
เหลือแต่หน้า .. (สวมหมวกคลุมอาบน้ำไว้) 

 

 
 ความร้อนในนี้สูงเฉลี่ยที่ 58-64 องศา แต่ร่างกายเราสามารถรับได้  การทำงานของจุลินทรีย์ในอ่างจะส่งคลื่นพลังงาน เหมือนชาร์ตแบตให้กับจุลินทรีย์ในตัวของเรา..สักครู่เราจะไม่ร้อนเลย
พวกเขาจะปรับอุณหภูมิให้เรารู้สึกสบาย หลับก็ได้ ความล้าจะคลายและสดชื่น
ถ้าเราอยู่ใกล้มาได้บ่อยๆ ผลต่อความแข็งแรงระบบหายใจและภูมิแพ้ จะดีขึ้นมาก
ช่วงเวลา 15-20 นาทีร่างกายขับเหงื่อออก เหมือนเราไปวิ่งมาสัก 15 กิโล 
ก่อนและหลังอบ เราจะต้องดื่มน้ำ (ทางบ้านผสานจัดให้) เพื่อเติมน้ำที่ออกไปกับเหงื่อ
เชื้อโรคในตัวเราที่ทนร้อนไม่ได้ ถูกจัดการให้ง่อยเปลี้ยเสียขา ถึงกับตายไปบ้าง
กายจะเก็บความร้อนนี้ไว้อีกหลายชั่วโมง จุลินทรีย์ตัวดีในกายเราจะเพิ่มแรงขึ้น
เพื่อทำหน้าที่กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้มีประสิทธิภาพ. เราเองมาอบหลายครั้งละ
อย่างน้อย ปีละครั้งๆ ละ สองรอบ ส่งผลกายใจโล่งสบาย ไม่มีโรคภัยอะไร
  เรามาไกลเพื่อให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ ปีนี้เราพาคนขับรถเรา มา 2 ครั้งแล้ว
และรอบนี้เราพาครอบครัวเพื่อนรักมาด้วย อย่างน้อยๆ ให้เพื่อนเราสบายตัว
( ทางบ้านผสาน มีผ้าให้เปลี่ยนและเราอาบน้ำล้างผงออก เป็นเสร็จกระบวนการ
ความหอมของรำของรำข้าว ยังติดกายข้ามไปอีกเป็นวัน ..สบายตัวจริงๆ )
อัตราค่าบริการ ต่อการดูแลสุขภาพถูกมาก ยิ่งซื้อเป็นคูปอง จะคุ้มมาก ติดต่อที่นี่เลย

********
เวลา 10.00 น. ได้เวลานัดหมาย เรียนกับครูอาข่ากันแล้ว
******** 
                 


ครูของฉัน  อาหมื่อและอาเดอ.. อายุน้อยกว่าฉัน  7-8 ปี   
แม้ชาวอาข่า ไม่ได้ใช้ภาษาเหนือ แต่ขอเรียกเองว่า สล่าปักผ้า อาเดอ อาหมื่อ


สถานที่เรียนที่โฮมสเตย์ ฮักอาข่า ของน้องเจน เบญวรรณ น้ำติ๊บ
อยู่แถวหลังสนามบินเชียงราย.. 


เริ่มการเรียน สนทนากันถึงจุดประสงค์ ให้ครูเข้าใจและอวดงานที่เราทำ ครูยิ้มบอกว่า "ถู่ละ" 

วันนี้ มีน้องนอสชาวอาข่า Banchong Mayare เจ้าของแบรนด์ 
GA AKHA CHA1000yrs. ติดตามที่ลิงค์ https://www.facebook.com/GA-AKHA-CHA-1000yrs-639879949822823

นอสเป็นผู้ช่วยเป็นล่ามตลอดวัน อาเดอเป็นป้าและอาหมื่อเป็นน้าของเขา





กระบวนการเรียบง่าย ครูทำแบบสาธิต-อธิบาย เราดู-ซักถามและทำตาม
เริ่มจากการ ตัดแบบลาย เมื่อเธอยื่นผ้า กรรไกร ให้ เราก็เริ่มฝึกตัด จนครูพอใจ


ตัดแล้ววางลายตามแนว เตรียมปัก ดูการสาธิต ลายนี้เราเคยลองทำตามเทคนิคเรา
มาดูครูทำถึงเห็นว่า เราอาจลอกตามแบบได้..แต่ไม่อาจเข้าถึงภูมิปัญญาแท้ 


เมื่อทำแล้ว ดูท่าทางจะไปไม่รอด  ครูก็เริ่มประกบทันทีและไม่ยอมที่จะผ่านไป
ครูพูดภาษาไทยได้น้อยมาก และอายที่จะพูด จึงต้องอาศัยล่ามอธิบายเพิ่ม
ลายของภาคเช้า เป็นลายลาฉ่องและอาลูละอู 

 


เรามีคำถามกัน เรื่องการใช้สี ชุดสี จำนวน ที่ครูได้ให้ความกระจ่าง และได้เรียนรู้
วิถีชีวิตที่ ครูพูดและน้ำตาจะไหล "คนอาข่าลำบากตั้งแต่อยู่ในท้อง"
แม่ของเธอจะต้องหอบท้องขึ้นลงเขา เพื่อทำงานเก็บชา รับจ้าง ครูทั้งสอง
ข้ามมาจากพม่า หนีภัยสงครามที่โหดร้าย ภาพความทรงจำที่พ่อแม่เสียชีวิตในการสู้รบ
ใช้ชีวิตกำพร้าตั้งแต่ 5 ขวบ บางวันเด็กๆ พี่น้องทั้งบ้านไม่มีอะไรจะกิน
ไม่ทันได้ถามว่า เธอได้เรียนหนังสือกันหรือไม่ เพราะเธอยังเศร้ากับเรื่องเล่า
แต่เมื่อกล่าวถึง วิถีวัฒนธรรมชนเผ่า องค์ความรู้เรื่องนี้เหนียวแน่นมาก นอสบอกว่า
บางเรื่องที่น้าพูดวันนี้ ผมพึ่งเคยได้ยิน การเข้ามาเมืองไทยได้ คือ เมืองสวรรค์ของเขา
ชนเผ่าอาข่ามีหลายกลุ่ม และนอสเอง มีผังต้นตระกูลอาข่า ที่เขาเก็บรักษา
กำลังเตรียมจะเขียนถ่ายทอด เรื่อง ราวของกลุ่มเขาไว้ แต่ติดขัดที่เรียบเรียงไม่เก่ง 
แต่ละกลุ่มใช้ภาษาที่ใกล้เคียง วัฒนธรรมอาจแตกต่างกันบ้าง ตามพื้นที่ที่กระจายกัน
*** จบภาคเช้า***

 


อาหารกลางวันนี้ เป็นอาหารอาข่าเรา ต้องขึ้นมาทานบนที่สูงกันหน่อย 
ตอนแรกภาคเช้าเราวางแผนจะเรียนข้างบนนี้  แต่ลมแรงมาก หนาวและวัสดุปลิว
อาหารทุกเมนูปรุงแบบไม่มีผงชูรสและที่เป็นไฮไลท์ คือ รากชู  พืชสมุนไพรที่สุดยอด 
ข้าวกล้องอินทรีย์ของกลุ่มเพื่อนๆ ของนอสและเจน ข้าวนุ่มหอม อิ่มอร่อย

*** ต่อภาคบ่าย..เรียนเรื่องทำเสื้อตามแบบแผนอาข่า ***

 

    
กระบวนการดั้งเดิม ก็ใช้เครื่องมือวัดในตัว คือ คืบเอาว่า ตัวคนใส่ไหล่กว้างเท่าไร
กะความยาวด้วยคืบ ข้อนิ้วตามสัดส่วนและประสบการณ์ ซึ่งน่าทึ่งที่สามารถเย็บเสื้อ
ได้ขนาดใกล้เคียงกับการวัดตามแบบแผนการเย็บผ้าสากลและสามารถ
ใช้สวมใส่ด้วยเสื้อตามรูปแบบนี้ สืบต่อมาพร้อมปักลวดลายสวยงาม


 

 
    
ครูสาธิตการ วัดตัว ต่อผ้า ต่อแขน การเย็บตะเข็บ เข้าถ้ำด้วยการด้นมือ 
การต่อผ้าไปตามลำดับ จากชิ้น ส่วนประกอบตัว ตัด+ประกอบแขน ในเวลากว่า 2 ชั่วโมง


เสื้อตัวนี้ก็เสร็จ เป็นโครงร่างเรียบร้อย เหลือเก็บรายละเอียด พร้อมนำไปปักได้
  
 

ผ้าปัก ที่ปลอกขาของครู  ฝีมือละเอียดมากและหลังเสื้ออาหมื่อ
        ครูบอกว่า ปักตอนอายุ 25  สียังสดผ้าทนทานมากเพราะมีเทคนิคการย้อมด้วยภูมิปัญญา
ซึ่งครูอธิบาย แต่วิธีการยากเกินไป ใช้ผงหินและสารจากพืชที่ไม่รู้ชื่อไทย
เมื่อถามถึง ศิลปะการต่อผ้ามีระบบสี ใช้แบบไหน อย่างไร  ครูอธิบายแบบสากลเลย
ว่า สีแดงกับเหลือง ต่อไปก็ส้ม ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมาก อาจเป็นเพราะ
ชาวอาข่าแต่ละกลุ่มเชื่อถือขนบต่างกันบ้าง  บางกลุ่มต้องเรียงสีตามขั้นตอน
อาหมื่ออธิบายน่าสนใจว่า พวกเขายากจน ไม่มีเงินซื้อผ้า จะต้องปลูกฝ้าย 
ต้องรอให้เกิดผล ใช้งานได้ ปลูกต้นไม้เพื่อนำเปลือก ต้น ใบ รากมาย้อมสีผ้า 
ถามถึง การปักผ้าเต็มตัว กับการปักบางส่วน อาหมื่อหัวเราะ บอกว่า
บางคนก็ขี้เกียจ  บางคนก็มีเวลาปักเพราะไม่ต้องทำงาน  พวกเธอไม่ค่อยมีเวลา
ต้องทำงานทั้งวัน ตกเย็นก็มืดแล้ว ไม่มีแสงไฟพอจะปัก เสื้อของเธอจึงมีลายน้อย  
การต่อเศษผ้าในยุคดั้งเดิม ถูกนำมาใช้  โดยการเอาเศษผ้าขอกันมา
ต่อให้เต็มตัวเพื่อใช้สวมใส่ และได้กลายเป็นเอกลักษณ์และศิลปะที่งดงามต่อมา 
ยิ่งในยุคสงคราม ปั่นฝ้ายมาทำเสื้อผ้าไม่ได้ต้องย้ายที่อยู่หนีภัยกัน ..
เราแอบคิดว่า ในความยากลำบาก ทำไมถึงทำงานปักผ้าได้เนี้ยบและงดงามขนาดนี้  


เก็บความทรงจำไว้  ก่อนลาจากครูมาจับมือ นอสบอกว่า คือ การแสดงเคารพกัน
บอกครูว่า  เราจะพบกันอีก ในผืนผ้า ด้าย เข็มและจะเอาวิชาที่ครูสอนมาเผยแพร่ด้วยศรัทธา

                                                            
คิดถึง ครูจัง... 2 ลายปักยากมาาาาก..

เราออกเดินทางต่อ ขึ้นดอยสะโง้ว ..ขึ้นไปกราบหลวงพ่อโพธินันทะ หนึ่งใน 7 กูรู
ท่านไม่ใช่คนเหนือ จึงไม่เรียก "ครูบา" อยากเรียกท่านว่า "สล่าธรรม" ด้วย
เราออกจาก โฮมสเตย์ฮักอาข่า ก็เกือบ 5 โมง เกรงจะขึ้นดอยค่ำและอาจหลงทาง
สถานที่ที่เราจะไปพัก คือ "ม่อนมิ่งขวัญ" สถานปฏิบัติธรรม ที่เป็นฟาร์มสเตย์
(ปกติ สามารถติดต่อใช้พื้นที่ในการรวมกลุ่มปฏิบัติได้ มีรายละเอียดตามลิงค์
https://www.facebook.com/chiangraifarmstay)


ณ เพลาที่มาถึง ก็พลบค่ำ มีหลงทางในสวนยางเล็กน้อย
มองไปไกลๆ ที่เห็นกลุ่มแสงไฟลิบๆ คือเขตเศรษฐกิจพิเศษจีน ในฝั่งลาว


เช้ามาซึมซับความงาม ความเย็นระดับดอยกับทิวทัศน์รอบๆ เก็บมาฝากกันเล็กน้อย
เหลืองขี้เหล็ก กับเหลืองทองอุไร เหลืองเบอร์เดียวกัน แทบแยกไม่ออก
 
 

 


บรรยากาศ ยามเช้า วิวร้อยล้าน รอชมพระอาทิตย์ ..กับทะเลหมอก ที่ไม่ได้มีทุกวัน 
สะพานนี้มีประตูโค้งสัญลักษณ์ของม่อนมิ่งขวัญ และในมุมต่างๆ มีป้ายธรรมไว้เพื่อเจริญสติ 


สัญลักษณ์ ที่หลวงพ่อโพธินันทะ ให้สร้างรูป โคแม่ลูกอ่อนเล็มหญ้า ชำเลืองมองลูกน้อย
ดุจ การดำรงอยู่กับปัจจุบัน ให้กลับมาชำเลืองดูลมหายใจให้บ่อยๆ 
เมื่อกลับมาอยู่ที่ลมหายใจ  ความคิดก็ไม่มี อารมณ์ไม่ผุด เป็นช่องทางที่ปัญญาจะเกิด
ง่ายๆ แค่กลับมา รับรู้อยู่บ่อยๆ ดุจเดียวกับโคแม่ลูกอ่อนเล็มหญ้า ชำเลืองมองลูกน้อย 
ในแปลงเก๊กฮวยของที่นี่ ดอกก็เริ่มแก่พอใช้ น้องๆ เก็บมาตากไว้ต้มถวายพระ 


นี่เป็นฟาร์มเก๊กฮวยของโครงการหลวง สะโง้ ติดกับม่อนมิ่งขวัญ เข้าใกล้หอมมาก
พี่น้องชนเผ่าในโครงการ กำลังเร่งเก็บดอก เพื่อไปแปรรูป 


มีเหตุปัจจัยได้พบเจอ ลูกสาว/น้องสาว ซึ่งลูกเราเรียกว่า พี่ มีงงๆ ในสัมพันธภาพ
และเป็นเหตุให้ไปเยี่ยมบ้านเธอ ลงจากดอยสะโง้มาไม่ไกล 
หมู่บ้านนี้ อยู่ติดถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน (แต่วันนี้ยังไม่ไปชมถ้ำ) 


ได้โอกาสสนทนาธรรมกับหลวงพ่อโพธินันทะและหลวงพี่สมพงษ์
จากวัดป่าแก่นธรรม แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ
    

 


ด้านข้างบ้านมีลำธารเล็กๆ น้ำใสๆ ไหลมาจากถ้ำหลวง ตลอดปี 
นี่เป็นกำไรชีวิต ของทริปนี้ ได้พบผู้คน เชื่อมต่อกันทางจิตวิญญาณ ซึ่งแน่นอนว่า
การทำงาน..ด้านภายในกับผู้คนผ่านงานศิลปะ..ยังต้องเดินทางอีกยาวไกล

จบบันทึก ทริปล้านนา ตามรอยสล่า
ขอบคุณที่ติดตาม  เจอกันทริปหน้าจ้า..