เล่าเรื่อง ท่องเมืองซำเหนือ แขวงหัวพัน สปป.ลาว #ตอน6

            ตอนสุดท้ายแล้วจ้า..!!!!!  ขออภัยที่ทิ้งช่วงไปนานหน่อย (เนื่องจากภารกิจท่วมท้นรอบทิศ)  แต่อย่างไรก็ต้องกลับมาพบกันอีกครั้ง ..เพื่อกล่าวลาทริปนี้ อย่างเป็นทางการ  ...ภาพโปรยของตอนที่ 6 นี้  ขอบคุณ ครูแต้ ที่อนุญาตให้ใช้ภาพของผ้าที่ไปเลือกมาระหว่างทาง นี่มาจาก 2 ถิ่นเชียวนะ  ตัวซิ่นเป็นผ้าซำเหนือ แต่ตีนซิ่น (ตีนเจ)มาจาก ฝั่งเวียตนาม   

             ความดำๆแดงๆ ทอด้วย เทคนิค หลายอย่างและลวดลายที่ใช้  มิติต่างๆ เหล่านี้ที่พอจะบอกให้เราทราบว่า วัฒนธรรมผ้า มาจากถิ่นไหน  เป็นชนกลุ่มใด อยู่แถบใด เป็นหลายมิติที่ผู้เล่าเองยังไม่ได้รู้ลึก แค่พอมองกลุ่มผ้าออกบ้าง เรียกชื่อพอได้บ้าง..ถ้าไม่รู้  อยากรู้ เราก็ถามผู้รู้ ก็จะรู้ แค่นี้เอง ..(ผ้าไรอ่ะ???)
               เช้านี้เราอำลาเมืองซำเหนือด้วยอุณหภูมิ 7 องศา และลาน้อง "พรมีสุข" เจ้าของเฮือนพักน้ำซำ ด้วยภาพถ่ายที่อยากจะถามคุณผู้อ่านจริงๆ ว่า  ในสี่คนนี้ คุณว่าใครที่ไม่น่าจะสวมผ้าซิ่นให้ลงตัวได้  (ดูจากสาระภาพที่เห็น)
     
             ก่อนจากลา เราตื่นมาแต่เช้า  ทั้งที่หนาวเหน็บ เพื่อ.??? ใช่แล้ว เราแวะไปตลาดผ้ากันอีกรอบ เพื่อตัดความอยากได้ โดยการไปซื้อผืนที่ชอบ ให้รู้แล้วรู้รอดไป ..ไม่งั้นก็จะพร่ำพรรณาเสียดายกันตลอดทาง... และรีบเดินทางกลับลงมาเป้าหมายที่เชียงขวาง
ระหว่างทาง เก็บภาพความงามสลับซับซ้อน หลายมิติ..พอมองเห็นหมอกเหนือยอดเขาไกลลิบๆ..

 
                   การท่องเที่ยวแบบนี้  เราจะเห็นมนุษย์กับสมดุลย์ธรรมชาติ  การหาฟืนเพื่อใช้เป็นพลังงาน
 จากกิ่งไม้ที่แห้งยืนตาย ในแต่ละปีมีมากพอที่ธรรมชาติจะทิ้งไว้ให้  
เช่นปีก่อนๆ นั้น หิมะปกคลุมยอดเขาเพียงหนึ่งอาทิตย์ ส่งผลให้ต้นไม้ ยืนต้นตายกันเกลื่อน  
และความแห้งแล้งก็ช่วยส่งต่อไม้เหล่านั้นให้ผูคนมาใช้ประโยชน์ (ทุกบ้านตุนฟืนไว้เต็มที่)  



 ภาพชีวิตข้างทาง  ยังเป็นวิถีเดิมๆ ที่ผู้คนในท้องถิ่น คนภูเขา สะท้อนภาพอดีตของคนเมือง การมีเพียง
มอเตอร์ไซค์ฮ่าง (รถเก่าๆ)  ก็สุดแสนจะสะดวก  การมีของเล่น รถล้อทำมือ .มันสนุกสุดเหวี่ยงแล้ว
การมีภารกิจช่วยครอบครัวเป็นคุณค่าของเด็กๆ และกองไฟไหนจะเท่าความอบอุ่นของมวลญาติพี่น้อง



ผ่านความงามสุขใจ ที่เก็บเกี่ยวจากภาพข้างทาง .. เพลิดเพลินได้ไม่นาน เมื่อมาถึงสะพานเดิม
ก็มาพบสถานการณ์ ที่ต้องตั้งสติ ..เอิ่ม! ขัวห้วยราม  อีกแล้วครับท่าน ..จำได้มั้ยคะ
ตอนขามา รถบัสล้อทิ่มลงบนสะพาน ..วันนี้ เจ้าหน้าที่ได้ฤกษ์ซ่อมใหญ่ กันทั้งสะพาน..เราเร่ิ่มรู้สึกกังวล ถ้ามาเร็วกว่านี้ สักชั่วโมงเราคงผ่านไปแล้ว..แต่การมาถึงในเวลาที่ลงตัว .จึงได้รับโอกาสไนการร่วมอยู่กับสถานการณ์ เห็นการทำงานที่คล่องแคล่วของ นายช่างซ่อมขัว ด้วยเวลาประมาณ สองชั่วโมงกว่าๆ ..
เก็บเกี่ยวโอกาสดีๆ จากสถานการณ์นี้ 
1. พี่ในทีมเรา ใช้เวลาผูกมิตรกับน้องๆ ที่มีบ้านอยู่แถวนั้น  ไปชมการทอผ้าของเธอ 
ธรรมเนียมทอผ้าใช้เอง ยังมีอยู่ในดินแดนแห่งนี้  ถ้าคุณดูที่จำนวนกี่ จะรู้ว่าเจ้าของบ้านมีลูกสาวกี่คน

และ 2 ได้พบเพื่อนคนไทย ที่มีหัวใจชอบท่องเที่ยว ทั้งกลุ่มที่มีอาชีพเที่ยว 
และเป็นข้าราชเกษียน  มาจากลำพูน ใช้รถปิคอัพธรรมดาที่มี ท่องภูเขาแบบเดียวกับเรา ..
ที่น่าแปลก ทุกคนเป็นครู ผู้บริหารโรงเรียนด้วย  ได้เจอเพื่อนร่วมวิชาชีพ .. สนุกเลย
เราไถ่ถามถึงต้นสายปลายทาง และต่างแยกย้ายกัน ..ส่งสัญญาณกันระหว่างทาง


หลังจากที่ออกเดินทางจาก  ขัวห้วยราม มาถึง บ้านนาสาลา ..ชุมชนทอผ้าที่เราอุดหนุนไปมากมาย
ก็อดแวะร่ำลากันไม่ได้  ขอถ่ายภาพกับสาวน้อย ลูกสาวบ้านนี้ เธอกำลังทอผ้ามุกดำ






แน่นอนถึงเป้าหมาย เกินเวลาที่ตั้งไว้ เรามาถึงเกือบ สองทุ่ม 20.00 น. มีนัดหมายกันที่บ้านพี่ฮัก 
(พี่ที่เราเคารพรัก นับถือ) ที่เชียงขวาง เอื้อยจันเพ็ง  พร้อมลูกสาว ลูกเขย (เป็น อ.วิทยาลัยสร้างครู)และหลานตัวน้อย จัดวงพาข้าว อาหารเชียงขวางให้เราได้ชิมแบบพื้นบ้านกัน ลิ้มลองข้าวเหนียวเฉพาะถิ่นเชียงขวาง คือ ข้าวไก่น้อย  อร่อยล้ำสุดๆ และเป็นธรรมเนียมการรับแขก ต้องมีเครื่องดื่มเมรัย .. 
อากาศหนาวๆ แบบนี้ (ค่ำนี้ 7 องศา) ..เราก็ใช้มันเป็นเครื่องช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ก็ดีงามเชียว 
รสชาติไวน์พื้นบ้านผสานเบียร์ลาว ซึ่งหมักจากข้าวไก่น้อย นี่สุดยอดอยู่แล้ว  
ค่ำคืนนี้ทีมเราพักที่โรงแรมเดิม กลุ่มนึง ส่วนผู้เขียนพักบ้านแม่จันเพ็ง ที่นี่..




 .. อาหารเช้า อีกมื้อที่เอื้อยจันเพ็งเตรียมให้ก่อนเราเดินทาง  ส่วนย่ามแดงสัญลักษณ์เซียงขวางนั้น
ได้มาจาก หัสดี ลูกฮัก ที่มอบให้ทุกคน เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเมืองของเขา  เรานัดลูกหัสดี มาเจอกันตั้งแต่เมื่อคืน ครั้งนี้เราไม่มีโอกาสไปบ้านลูก เนื่องจากเวลาจำกัด ..ขอเป็นโอกาสหน้า ไปแน่นอน
เราถ่ายภาพกับเอื้อย ก่อนลาจาก  บ้านนี้เป็นบ้านใหม่ และเอื้อยพาไปชมบ้านหลังเก่าซึ่งยังไม่รื้อทิ้ง 
เป็นบ้านไทพวนดั้งเดิม สังเกตเห็นเสาที่มีหินรองเป็นฐาน แบบโบราณ  



ด้วยความติดใจในข้าวไก่น้อย เม็ดอ้วนๆ ป้อมๆ นึ่งแล้วนิ่ม และหมักเมรัยได้รสชาติดีนักแน
ซื้อค่ะ ซื้อ ทั้งสีแล้วและข้าวเปลือกไปปลูกอีกด้วย  ข้อมูลที่ยังไม่ยืนยัน (ยังไม่ได้อ่านชัดเจน เดี๋ยวจะมาเพิ่มเติมทีหลัง) ว่า เป็นพันธุ์ข้าวเก่าแก่ของ ชนเผ่าขมุ ช่างละม้ายคล้ายข้าวญี่ปุ่น ที่แปลก
คือ ข้าวทั้งสองนี้หมักเมรัย ได้รสดี ทำไมเบียร์ลาว อร่อยนัก และเหล้าสาเกจึงเป็นเครื่องหวนรำลึก
ของผู้มาเยือนเมื่อได้รับการต้อนรับด้วยจอกแห่งมิตรภาพนี้ 
                                                    






ออกจากตลาด เราเดินทางมาจุดสำคัญ ทุ่งไหหิน ที่ผู้คนจะมีโอกาสได้ไปเยือนแค่ทุ่งเดียว
ที่ปลอดภัยและเก็บกู้ระเบิดแล้ว  ทุ่งสวยๆ อีก 2 แห่ง เรายังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปเนื่องจากยังมีอันตรายมาก ทุ่งแห่งนี้ จะสังเกต สัญลักษณ์ขององค์กร MAG ที่เข้ามาดำเนินการเก็บกู้
เรายังเห็นซากหลุมที่เกิดจากแรงระเบิด กระจายทั่ว 
ในภาพจะมีไหเดียวที่มีฝาและน่าจะไม่ใช่ฝาของหลุมนี้ ดูปิดไม่สนิท(ภาพที่ผู้เขียนยืนคู่พี่สาว)
นอกจากทุ่งไหหินแล้ว จุดสำคัญ คือ ถ้ำด้านล่าง สันนิษฐานว่า เป็นที่สำหรับประกอบพิธีกรรมฌาปนกิจบรรจุกระดูกในไห  ซึ่งปรากฏการค้ำหิน กองหินตั้ง ตามยุควัฒนธรรมหินตั้ง (มารีวิวทีหลัง) ยังปรากฎพบของใช้ส่วนตัวผู้ตายในไหรอบๆ .. แต่ช่วงสงคราม ถ้ำถูกใช้งานเป็นที่หลบซ่อนด้านอาวุธอย่างดีเลย     



ออกจากทุ่งไหหิน ได้มีโอกาสนมัสการพระพุทธรูปโบราณ ที่วัดเพียวัด
เมืองคูน อันเป็นอนุสาวรีย์ที่เจ็บปวดของชาวพุทธท้องถิ่น
สงครามแม้จะทำลายศาสนสถาน เกือบไม่เหลือซาก แต่หาได้ทำลายศรัทธาของศาสนิกชนได้ไม่
ยังคงเตือนใจให้ชนรุ่นหลังได้เห็นชัดๆ ว่า สงครามส่งต่ออะไรให้พวกเขา  






ที่สุด เราก็เดินทางมาถึงด่านปากซัน ท่าเรือเวลาก่อน 16.00 น เล็กน้อย เพราะคิดเอาเองว่า 
คงทันเรือบักเที่ยวสุดท้าย  แต่อนิจจา ทราบข่าวว่า วันหยุด เรือหมดเที่ยวแล้ว ถ้าจะข้าม
ต้องเช่าเหมา เที่ยวละ 3000 B. ให้ตกลงเช่าให้ได้ก่อน ค่อยมาทำเอกสารแจ้งออก
เมื่อดำเนินการเรียบร้อย เรานำรถขึ้นแพเตรียมข้ามฝั่งทันที 
*** แต่เรื่องไม่ง่ายอย่างที่คิด .เนื่องจากวันหยุด คนขับประจำแพยนต์หยุด ให้มือแทนมาขับ ปรากฎว่าไม่ชินกับเครื่องทำเกียร์ถอยหลุด  ขณะที่เวลาของน่านน้ำก็จะปิดลง 18.00 น. ด่านฝั่งไทย.จะทันหรือไม่ 
เป็นความกังวลที่ไม่ทราบว่าจะเผชิญอะไร จะโดนกักนอนค้างที่ด่านมั้ย ..สารพัดจะคาดการณ์



อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้จัดการเรือมาช่วยแก้ปัญหา โดยนำแพยนต์อีกลำ มาขับแพลำแรก ลากไปจอด 
แล้วจึงนำเราข้ามฝั่งมา...
ในห้วงเวลาที่กังวล พวกเรายังมีแบตเหลือนิดหน่อย เก็บภาพความงามสองฝั่งโขง ถ้าไม่มีเหตุการณ์นี้ เราคงไม่มีภาพอวดคนบึงกาฬ และคงไม่รู้ว่ามุมกล้องที่หันไปทางท้องฟ้าฝั่งไทยเรานั้น งดงามเพียงใด

จบภาพทริป ด้วยภาพท้ายเรือที่ทอดลงฝั่ง รถเราขับลงไปที่ด่านและดำเนินการด้านเอกสารอย่างราบรื่น ด้วยความกรุณาของเจ้าหน้าที่ ..ถึงบึงกาฬ กินข้าวแลง ริมฝั่งโขงและเดินทางกลับถึงบ้าน
ปฏิบัติหน้าที่วันต่อไปอย่างอิ่มเอมใจ

****สนใจไปด้วยกัน ลงชื่อไว้นะ  ทริปหน้าอาจจะสนุกว่าเดิม ..แต่ยังคงเผื่อเวลาไว้สำหรับทุกสถานการณ์  และต้องกำหนดตารางหลวมไว้อย่างยืดหยุ่น ... 
*** อย่าลืม ไลค์ เมนท์ และแชร์ ...เราอยากส่งของที่ระลึกให้ท่าน..จังเลย